ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
09 ธันวาคม 2567

Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟ ไม่วางแผนรับมือ อาจเสี่ยงเป็นโรคร้าย พร้อมค่ารักษาจำนวนมาก

 

Burnout Syndrome หรือ ภาวะหมดไฟ ในการทำงานสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ไม่ควรปล่อยไว้นาน เราควรวางแผนรับมือและจัดการความรู้สึกหมดไฟนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันผลกระทบต่าง ๆ ที่จะตามมา โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงตามมาเช่นกัน เราจึงอยากชวนทุกคนมาวางแผนรับมือกับ Burnout Syndrome และค่าใช้จ่ายในการรับมือกับโรคร้ายด้วย “ประกันโรคร้าย” กัน

 

Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟ คืออะไร

Burnout Syndrome คือ ภาวะหมดไฟที่เกิดจากความเครียดสะสมจากการทำงานหรือการใช้ชีวิตที่กดดันเกินไป ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจล้าหนักจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน บางครั้งอาจรู้สึกหมดแรง ขาดแรงจูงใจ และไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน อาการเหล่านี้ยังส่งผลต่อสุขภาพกาย เช่น อาการปวดหัวเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันที่ลดลง และสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวลหรือซึมเศร้า ซึ่งหากปล่อยให้นานโดยไม่มีการดูแลตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างจริงจังได้

 

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะหมดไฟ

การปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะ Burnout Syndrome โดยไม่หาวิธีจัดการ อาจนำไปสู่ผลกระทบในหลากหลายด้าน ซึ่งไม่ใช่เพียงผลกระทบระยะสั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวอีกด้วย โดยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้มี ดังนี้

●        ด้านสุขภาพกาย ภาวะหมดไฟเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพกายของเราโดยตรง เมื่ออยู่ในภาวะนี้ ร่างกายมักเหนื่อยล้าเรื้อรัง อาจรู้สึกหมดพลังงานตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังเกิดอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือเจ็บป่วยง่ายขึ้นกว่าปกติ ความเครียดที่สะสมในระยะยาวยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ภูมิแพ้หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน และแม้กระทั่งมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ทั้งหมดนี้ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังลดทอนความสามารถในการใช้ชีวิตและทำงานในแต่ละวันอีกด้วย

●        ด้านการเงิน ผลกระทบทางการเงินจากภาวะหมดไฟเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ การรักษาอาการที่เกิดจากภาวะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพบแพทย์ การใช้ยา หรือการทำกายภาพบำบัด ล้วนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง หากเราต้องรักษาโรคร้ายแรง ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงขึ้น อีกทั้งเงินเฟ้อจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังทำให้ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย หากไม่มีการวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายล่วงหน้า การดูแลสุขภาพอาจกลายเป็นภาระทางการเงินที่หนักเกินไป การวางแผนเรื่องประกันสุขภาพหรือประกันโรคร้ายแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินในกรณีที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพระยะยาว

 

วิธีการรับมือกับภาวะหมดไฟ

การเผชิญกับภาวะหมดไฟไม่ใช่เรื่องเล็ก และหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย ใจ และการดำเนินชีวิตในระยะยาว การรับมือกับปัญหานี้จึงจำเป็นต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมและดูแลตัวเองในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การจัดการเวลา หรือการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเครียดสะสมกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิต วิธีการรับมือกับภาวะหมดไฟที่ได้ผล มีดังนี้

●        ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ได้ผลดีในการลดความเครียดและเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักเสมอไป การเดินเร็ว แอโรบิค โยคะ หรือการออกกำลังกายที่ชอบในแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ก็สามารถช่วยบรรเทาความเครียดสะสมได้ นอกจากนี้ ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เราพร้อมรับมือกับความท้าทายในแต่ละวันได้ดียิ่งขึ้น

●        ปรับสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน การทำงานมากเกินไปโดยไม่มีเวลาพักผ่อนอาจทำให้เรารู้สึกหมดพลังและขาดแรงจูงใจในระยะยาว ลองตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่ามีอะไรสำคัญบ้าง และจัดตารางเวลาโดยแบ่งเวลาให้กับงาน ครอบครัว และกิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขอย่างสมดุล ซึ่งการหยุดพักอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้เรามีสมาธิและพลังงานในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

●        ฝึกสมาธิและเทคนิคผ่อนคลาย  โดยใช้เวลาเพียงวันละ 10-15 นาที ในการฝึกสมาธิ เช่น การนั่งสมาธิ การฝึกหายใจลึก หรือการฝึกโยคะ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด ทำให้สามารถลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ดี และทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น โดยการใช้เทคนิคนี้ร่วมกับกิจกรรมที่ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เช่น การฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือที่ชอบ จะช่วยลดภาวะหมดไฟได้ในระยะยาวได้

●        แบ่งงานเป็นขั้นตอนและกำหนดเป้าหมายที่ทำได้ ความกดดันจากงานหรือเป้าหมายที่สูงเกินไปอาจทำให้เรารู้สึกหมดแรง การแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ พร้อมกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถทำได้จริง จะช่วยลดความกังวลและสร้างแรงจูงใจ การทำสิ่งเล็ก ๆ ให้สำเร็จในแต่ละวันยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง และทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้ช่วยให้เรารู้สึกว่าปัญหาที่ดูใหญ่ในตอนแรกเริ่มง่ายขึ้นและจัดการได้

●        ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากรู้สึกเครียดเกินไป หากลองทุกวิธีแล้วแต่ยังรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ คือทางเลือกที่ดี ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้เรามองเห็นปัญหาชัดเจนขึ้นและแนะนำวิธีจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม การพูดคุยกับคนที่เข้าใจและสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ช่วยให้เรารับมือกับภาวะหมดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจช่วยให้เรามองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตกลับมามีความสุขอีกครั้ง

ภาวะหมดไฟอาจต้องใช้เวลาในการดูแลตัวเอง และแม้เราจะจัดการภาวะหมดไฟได้ ก็ไม่ได้การันตีว่าโรคร้ายแรงจะไม่เกิดขึ้นกับเรา และการเผชิญหน้ากับโรคร้ายแรงมักมาพร้อมค่าใช้จ่ายมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อการรักษาต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เช่น ค่าห้องพยาบาล ค่ายา ค่าผ่าตัด และการดูแลต่อเนื่อง การทำ ประกันโรคร้ายแรง เป็นทางออกที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านการเงินได้อย่างดี แม้จะไม่มีใครอยากเป็นแต่ประกันนี้จะช่วยให้เราอุ่นใจ เพราะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา ทำให้เราไม่ต้องแบกรับภาระทั้งหมดด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังช่วยลดความกังวลใจในช่วงเวลาที่ต้องโฟกัสกับการดูแลตัวเองช่วงหมดไฟได้

บทความด้านการลงทุนที่สำคัญ