ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
01 เมษายน 2567

กระจายความเสี่ยงให้เป็น เลือกอย่างระวัง! หากซื้อ ‘ประกันควบการลงทุน’ ตัวช่วยคุ้มครองชีวิต มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง

สำหรับคนที่อยากได้ความคุ้มครองชีวิต พร้อมมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงขึ้น การทำ ประกันควบการลงทุน หรือ Unit Link อาจจะเป็นคำตอบให้ใครหลายคนได้ แต่ด้วยการเป็นประกันที่มีความเสี่ยง หลายคนจึงลังเลและไม่รู้จะเลือกซื้ออย่างไรดี วันนี้เราจึงมีปัจจัยที่ควรพิจารณาในการซื้อประกันควบการลงทุน และการการกระจายความเสี่ยงของกองทุนรวมมาฝากกัน

 

โดยก่อนอื่นเราขอพาไปดูข้อดีของประกันควบการลงทุนกันก่อน เผื่อคนที่ยังไม่รู้จักอาจจะสนใจนำไปประกอบการพิจารณากัน

 

ข้อดีของประกันควบการลงทุน

●        ความยืดหยุ่นผู้ถือกรมธรรม์

ประกันควบการลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนทุนประกันชีวิตให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงชีวิตได้ ซึ่งปกติแล้วบริษัทประกันส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ปรับลดทุนประกันชีวิตได้ ตามความต้องการความคุ้มครองที่ลดลง เมื่ออายุมากขึ้นและมีทรัพย์สินมากขึ้นหรือมีภาระน้อยลง หรือสามารถหยุดชำระเบี้ยประกันโดยความคุ้มครองยังดำเนินต่อไป หากมีเงินลงทุนสะสมไว้เพียงพอและถอนมาจ่ายเป็นเบี้ยประกันแล้ว

●        ความโปร่งใสของกรมธรรม์

ประกันควบการลงทุนจะแสดงให้เห็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำประกันชีวิต เช่น ต้นทุนค่าประกันชีวิต ค่าธรรมเนียมในการรักษากรมธรรม์ ค่าใช้จ่ายในการลงทุน รวมไปถึงค่านายหน้าของกรมธรรม์ ดังนั้น เราจึงไม่ต้องตกใจว่าหากสิ้นปีแรกมูลค่าเงินลงทุนจะมีอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งหมด นั่นไม่ได้หมายความว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนติดลบหนักถึง 50% แต่เป็นการหักค่าใช้จ่ายปีแรกที่อยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกับกรมธรรม์แบบอื่นๆ เพียงแต่เราไม่ค่อยได้สังเกตเห็นความโปร่งใสของการคิดค่าใช้จ่ายในกรมธรรม์ในแบบอื่นๆ เท่านั้น

●        โอกาสในการได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเบี้ยประกันของกรมธรรม์

มีการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ เหมือนกับประกันแบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกันชีวิตก่อน แล้วส่วนที่เหลือจึงนำไปหาผลตอบแทน โดยประกันแบบออมทรัพย์หรือแบบตลอดชีพนั้น มีการระบุผลตอบแทนและมีลักษณะเป็นสัญญาชัดเจนว่าจะได้คืนเป็นจำนวนเงินเท่าใด จึงมีกฎระเบียบของทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ควบคุมดูแลพอร์ตการลงทุนของบริษัทประกันชีวิตไม่ให้ลงทุนเสี่ยงมากนัก

 

เมื่อเห็นข้อดีและจุดเด่นของประกันควบการลงทุนกันแล้ว สำหรับคนที่สนใจเราไปดูซื้อประกันตัวนี้ เราไปดูปัจจัยที่ควรพิจารณาในการซื้อประกันควบการลงทุนกัน

 

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการซื้อประกันควบการลงทุน

●        ความต้องการคุ้มครองความเสี่ยง

เราต้องพิจารณาก่อนว่าทุนประกันที่เหมาะสมควรสำหรับเรานั้นควรเป็นเท่าไหร่ เพื่อประเมินว่าเบี้ยที่จ่ายไปจะแบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อการประกันชีวิตเท่าไหร่ และแบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อการลงทุนเท่าไหร่ รวมไปถึงจะได้พิจารณาด้วยว่าเราควรจะสัญญาแนบเพิ่มเติมด้านประกันสุขภาพ เช่น การรักษาตัวในโรงพยาบาล การรักษาหรือค่าชดเชยที่เกิดจากโรคร้ายแรง เป็นต้น ด้วยหรือไม่นั่นเอง

●        ความสามารถในการรับความเสี่ยง

พอร์ตการลงทุนของเราควรมีการกระจายความเสี่ยงสอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราได้ ซึ่งมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์จะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุน และมูลค่าเงินสดจะปรับตัวผันผวนตามผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนเช่นกัน

●        วัตถุประสงค์ของการลงทุน

สามารถเลือกสินทรัพย์ลงทุน และสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราได้

●        ระยะเวลาในการลงทุน

เราอาจจะถือประกันจนครบกำหนดสัญญา หรืออาจเวนคืนมูลค่าเวนคืนเงินสดของกรมธรรม์ก่อนครบสัญญาได้ ดังนั้น ควรนำระยะเวลาในการลงทุนมาปรับให้สอดคล้องกับสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมด้วยนั่นเอง

 

ซึ่งหลังจากเราได้ดูปัจจัยที่ควรพิจารณาในการซื้อประกันควบการลงทุนกันไปแล้ว ต่อมาเราจะขอพาไปดูการกระจายความเสี่ยงหากเราต้องการเลือกซื้อประกันชีวิตควบการลงทุนกัน

 

การกระจายความเสี่ยง

ประกันชีวิตควบการลงทุนสามารถเลือกการลงทุนในกองทุนรวมที่บริษัทได้คัดมาให้ ถึงแม้ความเสี่ยงของกองทุนรวมดังกล่าวจะไม่มากนัก แต่เราก็สามารถเลือกสลับสับเปลี่ยนกองทุนได้ตลอดเวลาตามมุมมองการลงทุนที่เปลี่ยนไปตามช่วงจังหวะเศรษฐกิจ เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

●        ระยะถดถอย (Full Recession)

ระยะนี้ถือเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ในตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลง มีความผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มตัว

 

ดังนั้น ในช่วงนี้เราควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘กองทุนรวมตราสารหนี้’ (Fixed Income Fund) เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนไปทางต่ำ ซึ่งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและมูลค่าของตราสารหนี้มีลักษณะแปรผกผันต่อกัน ทำให้เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง มูลค่าของตราสารหนี้จะสูงขึ้นนั้นเอง

 

 

โดยเราควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารสั้น (Duration) ประมาณ 1 - 3 ปี เพราะหากเลือกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารยาว เวลาที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น กองทุนจะมีโอกาสติดลบและขาดทุนได้

 

●        ระยะเริ่มฟื้นตัว

ระยะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวขึ้น การจับจ่ายใช้สอย การลงทุนและตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคัก

 

ดังนั้น ในช่วงนี้เราควรเลือกลงทุนควรลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงปานกลางอย่าง ‘กองทุนรวมผสม’ (Balanced Fund)  เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยกองทุนที่มีการผสมสินทรัพย์ลงทุนระหว่างหุ้น และตราสารประเภทอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ ในอัตราส่วนของหุ้นไม่น้อยกว่า 35% แต่ต้องไม่เกิน 65% ของหน่วยลงทุน จะช่วยให้มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนหรือกำไรที่มากขึ้น

 

แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมผสมจัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง แต่ได้มีการกำหนดอัตราส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารประเภทอื่นๆ ไว้ จึงช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้

 

●        ระยะฟื้นตัวแล้ว

ระยะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะอยู่ในจุดสูงสุด ผลประกอบการบริษัทต่างๆ ดีอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นจากการใช้จ่ายที่มากขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเป็นขาขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่เป็นขาขึ้น มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีเป็นจำนวนมาก

 

ดังนั้น ในช่วงนี้เราควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง ‘กองทุนรวมหุ้น’ หรือ ‘กองทุนรวมตราสารทุน’ (Equity Fund) ที่สามารถคาดหวังผลตอบแทนระดับสูงได้

 

โดยกองทุนรวมหุ้นจะเน้นลงทุนในตราสารทุนประเภทต่างๆ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้น ไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV) กองทุนนี้แม้มีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง แต่ก็สามารถมุ่งหวังการเติบโต และสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

 

●        ระยะเริ่มถดถอย

ระยะนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงระดับสูง ตลาดหุ้นช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีโอกาสที่อยู่จุดต่ำสุด

 

ดังนั้น ในช่วงนี้เราควรเลือกลงทุนควรลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘กองทุนรวมตลาดเงิน’ (Money Market Fund) เพื่อเน้นการรักษาเงินต้นและลดโอกาสขาดทุน เพราะเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี จึงทำให้มีความเสี่ยงต่ำ มีความผันผวนของราคาน้อย เหมาะกับการพักเงินระยะสั้นในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี เป็นขาลง และผลตอบแทนที่ได้จะไม่สูงมากนัก

 

นอกจากนี้ กองทุนรวมนี้ยังมีสภาพคล่องสูง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะเลือกกองทุนแบบกระจายความเสี่ยงแล้ว แต่ความเสี่ยงเกิดได้ตลอด เราจึงควรรอบคอบและติดตามข่าวสารในการปรับเปลี่ยนกองทุนอยู่เสมอ และที่สำคัญประกันควบการลงทุนไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักในการเกร็งกำไร เราจึงอย่าลืมพิจารณาวงเงินความคุ้มครองชีวิตที่เราต้องการก่อนซื้อด้วย

บทความด้านการลงทุนที่สำคัญ