อาการเหน็บชาเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้เมื่อนั่งทำงานหรือนั่งท่าเดิมนาน ๆ เพราะเกิดการกดทับเส้นประสาทในบริเวณนั้น ๆ เช่น บริเวณ มือ เท้า ขา และ แขน เป็นต้น ซึ่งอาการชาในลักษณะนี้จะไม่มีอาการรุนแรงและไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะอาการจะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่อาการเหน็บชาที่เกิดขึ้นก็อาจมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นได้เช่นกัน ซึ่งหากรู้จักและเข้าใจสาเหตุที่มา เราก็จะสามารถป้องกันอาการเหน็บชาได้
อาการเหน็บชาเกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร
อาการเหน็บชาที่นอกเหนือจากที่สามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันเป็นโรคที่เกิดมาจากการขาดวิตามิน B1 หรือไธอามีน (Thiamine) ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จำเป็นต้องได้รับเพิ่มจากการรับประทานอาหารหรือจากอาหารเสริม โดยวิตามิน B1 มีหน้าที่ในการเร่งกระบวนการเผาผลาญสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ร่างกายสามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้งานได้รวมไปถึงการรับส่งกระแสประสาท โดยวิตามิน B1 หรือ ไทอามีนมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างชั้นที่คอยปกป้องเส้นประสาทขณะรับส่งกระแสประสาท
ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดวิตามิน B1 จะทำให้เกิดอาการเหน็บชา อาจเป็นได้ทั้งแบบสูญเสียความรู้สึก รู้สึกแบบผิวหนังหนา ๆ เป็นปื้น ๆ หรืออาการปวดเสียวบริเวณมือเท้า รวมถึงอาจมีความรู้สึกแสดงออกมามากกว่าปกติ เช่น รู้สึกยิบ ๆ ซ่า ๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน คล้ายไฟช็อต และเกิดอาการหลัก ๆ คือ รู้สึกหอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว
เหน็บชาในเด็ก vs เหน็บชาในผู้ใหญ่
อาการเหน็บชาสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีสาเหตุและลักษณะอาการแตกต่างกัน
· อาการเหน็บชาในเด็ก (Infantile Beriberi) พบได้บ่อยในทารกช่วงอายุ 2-6 เดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการรับประทานนมแม่และแม่มีอาการขาดวิตามิน B1 หรือเด็กที่รับประทานอาหารที่ขาดวิตามิน B1 เป็นประจำ
o ลักษณะอาการ
§ หน้าเขียว ตัวเขียว
§ ซึม
§ หอบเหนื่อย
§ ตัวบวม ขาบวม
§ หัวใจโต หัวใจเต้นเร็ว
§ ร้องไห้เสียงแหบหรือไม่มีเสียง
§ บางรายอาจมีอาการตากระตุก หนังตาบนตก
§ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง
· อาการเหน็บชาในผู้ใหญ่และเด็กโต (Adult Beriberi) สามารถแบ่งออกไปเป็น 3 ประเภท ได้แก่
o เหน็บชาชนิดผอมแห้ง (Dry Beriberi) ผู้ป่วยจะมีอาการชาแบบไม่บวม ซึ่งจะมีอาการดังต่อไปนี้
§ ชาปลายมือและปลายเท้า
§ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง โดยเฉพาะขาส่วนล่าง ทดสอบได้โดยให้ผู้ป่วยนั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้นเอง ผู้ป่วยจะทำไม่ได้
§ รู้สึกปวด
§ พูดไม่ชัด พูดติดขัด
§ อาเจียน
§ มีอาการผิดปกติทางจิต มีอาการสับสน
§ ตาขยับเองโดยที่ไม่รู้ตัว
§ เป็นอัมพาต
o เหน็บชาชนิดเปียก (Wet Beriberi) ผู้ป่วยจะมีอาการบวมร่วมกับอาการชาปลายมือปลายเท้า โดยจะมีอาการ คือ
§ ชาที่ปลายมือและปลายเท้า
§ มีอาการบวม มีน้ำคั่งในช่องท้องและช่องปอด
§ ขาส่วนล่างบวม
§ หอบเหนื่อย
§ หายใจตื้นขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ
§ ตื่นนอนขึ้นมามีอาการหายใจตื้น
§ หัวใจโตและเต้นเร็ว
§ อาจทำให้หัวใจวายในกรณีไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที
o เหน็บชา Wernicke-Korsakoff Syndrome พบบ่อยในผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง มีอาการดังนี้
§ เคลื่อนไหวลูกตาได้น้อยหรือทำไม่ได้เลย
§ เดินเซ
§ มีอาการผิดปกติทางจิตใจ
§ ผู้ที่เป็นมากอาจทำให้เกิดอาการทางจิตที่เรียกว่า Korsakoff's Psychosis ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองเสียหายจากการขาดวิตามิน B1
อาการชาที่เป็นมากกว่าการขาดวิตามิน B1
นอกเหนือจากอาการเหน็บชาที่เกิดจากการขาดวิตามิน B1 อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น โรคเหน็บชายังสามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นด้วย คือ
1. อาการชาที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งระบบประสาทส่วนกลางนั้นก็คือ สมองหรือไขสันหลังนั่นเอง ซึ่งอาการชานี้อาจมาจากโรคหลอดเลือดในสมอง ที่อาการชาจะเกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย และอาจมีอาการทางประสาทอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทรงตัวลำบาก ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยฉับพลัน นอกจากนี้ยังมีโรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ (Multiple Sclerosis) ซึ่งจะพบอาการปวดตามตำแหน่งประสาทที่มีอาการอักเสบ ทำให้มีอาการเกร็ง
2. อาการชาที่เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย
o ภาวะรากประสาทถูกกดทับ เกิดจากการที่กระดูกต้นคอเสื่อม หรือ หมอนรองกระดูกเคลื่อน
o ภาวะการกดทับของเส้นประสาทในแขนขา มักจะพบในตำแหน่งประสาทที่อยู่ตื้น และสัมพันธ์กับการนั่งหรือทำท่าเดิมนาน ๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นาน ๆ เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรง และมีกล้ามเนื้อลีบได้ หากถูกกดทับนาน ๆ
o การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น การได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เส้นประสาทถูกรบกวน โดยจะมีอาการชาแบบสูญเสียความรู้สึกและอ่อนแรงด้วย
o ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ ซึ่งมักมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน
o การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสงูสวัด ซิฟิลิส HIV
o โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
3. อาการชาที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น
o การอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดแดงสามารถไหลเวียนมาเลี้ยงกล้ามเนื้อและประสาทส่วนหลายลดลง นากจากอาการเหน็บชายังมีอาการซีดร่วมด้วย เพราะเลือดไหลเวียนลดลง อุณหภูมิจึงลดลง มีอาการปวดและคลำชีพจรไม่ได้
o การอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนกลับและลำเลียงของเสียออกมาได้ เกิดความดันในแขน ขาสูงขึ้น และรบกวนการนำเข้าของเลือดแดงมาเลี้ยง มักทำให้แขน ขาบวม มีสีคล้ำ ชา ปวด อ่อนแรงได้ หากมีอาการไม่มากจะสามารถคลำชีพจรที่แขนขาได้
4. โรคข้ออักเสบ
เมื่อข้อมีอาการอักเสบก็จะส่งผลต่อเส้นประสาทที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการชาร่วมด้วย
5. โรคกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องมาจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อเนื่อง ทำให้กระทบกับเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดไปยังเส้นประสาท อาจเกิดอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้
ชาขนาดไหนถึงควรไปพบแพทย์
· มีอาการชามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีอาการเกิดขึ้นในตำแหน่งอื่น ๆ หรือตำแหน่งเดิมแต่มีอาการชาต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวัน
· อาการชาที่มีลักษณะรับความรู้สึกของตำแหน่งไม่ได้ เกิดการเสียการทรงตัว
· อาการชาที่มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย
· อาการชาที่เกิดร่วมกับมือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ
การวินิจฉัยอาการเหน็บชา
ในเบื้องต้นแพทย์จะตั้งข้อสงสัยในประเด็นการขาดสารอาหารของผู้ที่มีพฤติกรรมการับประทานอาหารแบบจำเพาะ หรือเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยจะมีกระบวนการวินิจฉัยดังต่อไปนี้
· ตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ เพื่อวัดระดับวิตามิน B1 หากผู้ป่วยมีปัญหาการดูดซึมวิตามิน B1 จะมีระดับวิตามัน B1 ในเลือดน้อยแต่จะอยู่ในปัสสาวะมาก
· ตรวจร่างกายและระบบประสาท (Neurological Examination) เพื่อทดสอบการประสานงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การขยับของตา นอกจากนั้นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะถึงขั้นสูญเสียความทรงจำ สับสน หรืออาการหลงผิด ซึ่งการตรวจแบบนี้จะสามารถตรวจพบได้
· การตรวจร่างกายอื่น ๆ ซี่งจะทำให้แพทย์ทราบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ขาส่วนล่างบวม หายใจติดขัด เป็นต้น
· เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) หรือ ซีทีสแกน (CT-Scan) เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของสมองที่เกิดจากภาวะทางสมองขาดวิตามิน บี 1 (Wernicke's Encephalopathy)
บรรเทาอาการเหน็บชาได้ด้วยการเติมวิตามิน B1
เนื่องจากวิตามิน B1 เป็นสารอาหารที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้ จึงสามารถเติมได้จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามิน B1 และวิตามินอื่น ๆ ด้วย เช่น
· ธัญพืชและถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียวและงา
· ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ จมูกข้าวสาลี และรำข้าว
· ธัญพืชเต็มเมล็ดหรือโฮลเกรน (Whole Grains)
· เนื้อวัว เนื้อปลา และเนื้อหมูไม่ติดมัน ตับ ไต และไข่แดง
· นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น โยเกิร์ตผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง กะหล่ำดาว ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด และผลไม้เช่น แตงโม น้ำส้ม
นอกจากนี้ยังควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการดูดซึมวิตามิน B1 ของร่างกาย
อาการเหน็บชาแม้จะเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและรักษาได้ง่าย แต่หากละเลยอาจทำให้พลาดสัญญาณเตือนสำคัญของร่างกายได้ ลองสังเกตพฤติกรรมการบริโภคและระดับของอาการเหน็บชาที่เกิดขึ้น หากมีอาการเข้าข่ายตามที่กล่าวมาควรรีบเข้าพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันอันตรายที่จะตามมาได้อย่างทันท่วงที
สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth
แหล่งที่มาของข้อมูล
· โรงพยาบาลสมิติเวช
https://bit.ly/3Urdkxl
· โรงพยาบาลวิภาวดี
https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/86
· โรงพยาบาลศิครินทร์
http://bit.ly/3hw4DTL
· โรงพยาบาลราชวิถี
https://www.rajavithi.go.th/rj/?p=5084
· เว็บไซต์พบแพทย์
http://bit.ly/3G4HLoW
http://bit.ly/3hujXAD
