ไม่มีข้อมูล

ค้นหาในทุกหมวด
*โปรดระบุคำค้นหา
07 เมษายน 2566

เชื้อราบนหนังศีรษะ เกิดจากอะไร? คลิกเลย! จะได้ไม่ต้อง คันหัว อีกต่อไป

เชื่อว่าเหล่าแม่ ๆ หรือสาว ๆ ชาวออฟฟิศหลายคนที่ต้องทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอถึงเวลาอาบน้ำสระผมเสร็จก็หมดแรงที่จะเป่าผมให้แห้งและอยากจะรีบเข้านอน ถึงแม้จะเย็นสบายแต่รู้หรือไม่ว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเชื้อราบนหนังศีรษะตามมาซึ่งส่งผลเสียต่อความมั่นใจได้ วันนี้เราจะไปทำความเข้าใจและรู้จักวิธีแก้ไขปัญหานี้กัน

 

4 สาเหตุของเชื้อราบนหนังศีรษะ

เชื้อราบนหนังศีรษะมีหลากหลายชนิดและหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ชนิดนั้นก็เกิดจากตัวเชื้อราที่แตกต่างกันไป แต่หลัก ๆ นั้นเชื้อราบนหนังศีรษะจะเกิดจาก 4 สาเหตุดังต่อไปนี้

1.        เชื้อราจากโรคกลากหรือชันนะตุ
ชันนะตุ (Tinea capitis) คือ โรคติดเชื้อราบนหนังศีรษะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่มักพบมากในเด็กอายุ 6–12 ปี สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ด้วยการสัมผัสใกล้ชิดหรือใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น หวี ผ้าเช็ดตัว หมอน เป็นต้น หรือติดต่อจากสัตว์สู่คน เช่น สุนัข ลูกแมว เป็นต้น

โรคชันนะตุมีสาเหตุการเกิดมาจากเชื้อราชนิดเดียวกับโรคกลาก ซึ่งเชื้อราชนิดนี้มีชื่อว่า เดอมาโทไฟต์ (Dermatophytes) เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของเส้นผม เล็บ และผิวหนังชั้นนอกของมนุษย์ จะเติบโตได้ดีในที่ที่มีอุณหภูมิร้อนชื้น สามารถเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งแต่จะเกิดมากในบริเวณที่สร้างน้ำมันมาก เช่น ศีรษะ เปลือกตา ขนตา ดั้งจมูก ริมฝีปาก หลังใบหูหรือใบหู

โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคชันนะตุจะมีอาการ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เส้นผมเปราะบางและหักจนเห็นเป็นจุดสีดำ บริเวณที่ติดเชื้อรา หนังศีรษะตกสะเก็ดเป็นจุดกลม ๆ บางรายอาจมีผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง เป็นขุยหรือบวม มีตุ่มหนองที่กดแล้วจะรู้สึกเจ็บ

ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคันศีรษะอย่างมาก เมื่อเกาจนเป็นแผลก็อาจเกิดการติดเชื้อได้และเกิดรอยแผลเป็นได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีไข้ต่ำหรือต่อมน้ำเหลืองในลำคอโตอีกด้วย

ซึ่งกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อชันนะตุมากที่สุดจะเป็นกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็ก เพราะในกลุ่มโรงเรียนและสถานเลี้ยงดูเด็กที่มักจะมีการสัมผัสหรือเล่นกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เนื่องจากน้องหมาน้องแมวอาจจะติดเชื้อราชนิดนี้อยู่แต่ไม่แสดงอาการ เมื่อได้เล่นหรือสัมผัสก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดต่อได้ รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่หนังศีรษะ ผู้ที่ไม่ได้อาบน้ำหรือสระผมเป็นประจำ ผู้ที่มีผิวหนังเปียกชื้นจากเหงื่อเป็นเวลานาน และผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง และผู้ป่วยภาวะขาดสารอาหาร

2.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากการติดเชื้อรา
กรณีนี้จัดว่าพบได้น้อย เพราะเชื้อราก่อโรคมักเป็นเชื้อราที่พบได้ในสิ่งแวดล้อม เช่น โรคมิวคอร์ไมโคซิส (Mucormycosis) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคราดำ ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านการหายใจและทางบาดแผลเปิดเท่านั้น ซึ่งเชื้อราเหล่านี้จะพบได้ในดิน ปุ๋ยหมัก ใบไม้ ไม้ผุ และยังพบได้ในผัก ผลไม้หรือขนมปังที่หมดอายุแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อราชนิดนี้ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะไม่เกิดอาการป่วยแม้จะได้รับเชื้อราชนิดนี้

ในทางกลับกันสำหรับผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะมีโอกาสที่จะติดเชื้อราชนิดนี้ได้ง่าย ซึ่งราดำที่เกิดขึ้นที่ผิวหนังรวมถึงหนังศีรษะจะทำให้ผู้ป่วยปวด รู้สึกอุ่นบริเวณแผล เกิดรอยแดงอย่างรุนแรง หลังจากนั้นบริเวณที่ติดเชื้อจะเปลี่ยนเป็นสีดำ หรือมีอาการบวมรอบ ๆ บาดแผล โดยกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอจากการป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรค HIV มีภาวะขาดสมดุลของกรดด่างของสารน้ำในร่างกาย (Metabolic Acidosis) ใช้ยาบางชนิดหรือใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่กำลังฟื้นตัวจากการผ่าตัดหรือปลูกถ่ายอวัยวะและผู้ที่มีแผลไฟไหม้อีกด้วย

3.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์ม มีชื่อเต็มว่า Seborrheic Dermatitis คือ โรคที่เกิดจากภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง ซึ่งโรคนี้จัดว่าเป็นโรคเรื้อรัง และส่งผลต่อชีวิตประจำวันเพราะบริเวณที่พบบ่อยคือ ใบหน้า โดยจะขึ้นช่วงหัวคิ้ว ข้างจมูก หลังหู เป็นต้น ทำให้ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังชนิดนี้ขาดความมั่นใจได้ นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาการอักเสบของยีสต์ Malassezia ส่วนเกิน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปกติอาศัยอยู่บนผิวหนัง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีภาวะทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน ภาวะซึมเศร้า ภาวะเครียด และผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมไปถึงการระคายเคืองของผิวหนังที่เกิดจากการได้รับสารซักฟอกชนิดรุนแรง ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว เป็นต้น

ผู้ที่มีอาการผิวหนังอักเสบที่เกิดจากโรคเซ็บเดิร์มจะมีผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือสีเหลือง เป็นสะเก็ดแข็งบนหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้ หรือตามร่างกายส่วนอื่น ๆ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นบริเวณศีรษะผิวหนังตกสะเก็ดเป็นรังแคบนหนังศีรษะ หรือบริเวณที่มีเส้นผม คิ้ว หรือหนวดเครานอกจากนี้ยังอาจมีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุย เปลือกตาอักเสบ แดง หรือมีสะเก็ดแข็งติด และอาจมีอาการปวดหรือผมร่วงร่วมด้วย สำหรับในเด็กทารกนั้นมักจะมีเกล็ดสีเหลืองหรือน้ำตาลบนศีรษะ แต่จะหายไปก่อนอายุครบ 1 ปี

อาการผิวหนังอักเสบที่เกิดจากโรคเซ็บเดิร์มไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมัน และบางครั้งก็มีอาการคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ เช่น สิว เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเป็นโรคเซ็บเดิร์มได้แก่ เด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพราะร่างกายเริ่มมีการสร้างต่อมไขมันขึ้นมา รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือนอีกด้วย

4.        เชื้อราบนหนังศีรษะจากโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเกิดการแบ่งตัวหรือเติบโตเร็วกว่าปกติ จนสะสมกันจนหนาขึ้นเป็นหย่อม ๆ โดยเฉพาะที่ขอบหนังศีรษะหรือไรผม ทำให้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีขุยสีขาวหนาและเห็นขอบชัดเจน ซึ่งจะต่างจากรังแคธรรมดา ที่จะไม่มีขอบขุยสีขาว อาการของโรคสะเก็ดเงินจัดว่าไม่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้อาจเกิดอาการคันและเกาจนเป็นแผล ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อได้

 

วิธีการวินิจฉัยโรค

              อาการเชื้อราบนหนังศีรษะที่เกิดจากทุกสาเหตุจะมีวิธีการวินิจฉัยที่คล้ายคลึงกัน คือแพทย์จะตรวจดูลักษณะของเชื้อราบนหนังศีรษะ หรือเก็บตัวอย่างผิวหนังไปตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยและจำแนกชนิดของเชื้อราที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ

  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งบางชนิด
  • โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune Diseases)
  • การสัมผัสผิวหนัง สิ่งของ หรือสัตว์ที่ติดเชื้อ
  • ความเครียดและการฟื้นตัวจากภาวะสุขภาพ เช่น ภาวะหัวใจวาย
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยารักษาความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาโรคมาลาเรีย
  • ภาวะทางระบบประสาทและจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคพาร์กินสัน
  • ภาวะผิวหนังอุดตันจากเครื่องสำอาง หรือขนคุด
  • อาการระคายเคืองจากการกำจัดขนด้วยมีดโกนหรือการถอน เป็นต้น
  • สุขอนามัยที่ไม่ดี
  • สภาพอากาศร้อนชื้นจนทำให้หนังศีรษะอับชื้นได้ง่าย
  • หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่มีเหงื่อออกมาก ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์หรือเป็นโรคอ้วน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเชื้อราบนหนังศีรษะได้

 

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันเชื้อราบนหนังศีรษะ

·       ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคนใกล้ชิดหรือสัตว์เลี้ยงที่เป็นโรคผิวหนังโดยตรง และหมั่นทำความสะอาดของใช้อยู่เสมอ อย่าใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน

·       อาบน้ำและสระผมให้สะอาด และซับผิวหนังหรือเป่าผมให้แห้ง

·       โกนหนวดเคราเป็นประจำ

·       ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ก่อนและหลังใช้ห้องน้ำทุกครั้ง

·       ใช้นำมันมะกอกหมักผมไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อกำจัดสะเก็ดบนหนังศีรษะออกและช่วยให้ผมนุ่มลื่นขึ้น

·       หากได้รับยา ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

·       ขจัดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ

 

แม้โรคเชื้อราบนหนังศีรษะจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถทำลายความมั่นใจได้ หมั่นดูแลร่างกายและรักษาความสะอาดเป็นประจำ ก็ช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรงได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้กับบริการกรุงไทย-แอกซ่า เทเลเฮลท์ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Emma by AXA และกดปุ่ม “TeleHealth” พร้อมยืนยันหมายเลขกรมธรรม์ในครั้งแรกที่ใช้ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.krungthai-axa.co.th/th/telehealth

 

แหล่งที่มาของข้อมูล

·       คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/06232020-1449

·       เว็บไซต์ Helloคุณหมอ
https://bit.ly/3iim2jg

·       เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3im453j
https://www.pobpad.com/mucormycosis

·       โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/skin-diseases

·       โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/hair-loss

·       งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
https://bit.ly/3ucvLdQ

·       โรงพยาบาลสมิติเวช
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/sebderm

·       โรงพยาบาลธนบุรี2
https://bit.ly/3H1h451

บทความสุขภาพที่สำคัญ