ในช่วงนี้สถานการณ์ COVID-19 เริ่มดีขึ้น หลาย ๆ คนก็เริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบ Hybrid หรือแบบเต็มตัว แต่มีโรคหนึ่งที่อาจเป็นภัยเงียบภัยร้าย ที่ค่อย ๆ แทรกซึมระหว่างเราทำงานในที่ทำงานโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นก็คือโรคตึกเป็นพิษหรือ Sick Building Syndrome นั่นเอง วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมารู้จักกับโรคตึกเป็นพิษว่า เกิดจากอะไร มีอาการอย่างไรบ้าง พร้อมบอกวิธีการป้องกัน ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยกับสุขภาพร่างกาย
โรคตึกเป็นพิษคืออะไร
โรคตึกเป็นพิษหรือ Sick Building Syndrome (SBS) คือ สภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับมลภาวะจากภายในอาคาร โดยทั่วไปแล้วจะเกิดจากที่ทำงาน แต่ก็อาจจะเป็นอาคารใดก็ได้เช่นเดียวกัน รวมไปถึงในบ้านของตัวเองด้วย โดยอาการจะหายไปเองเมื่อเดินออกไปนอกตัวอาคาร ซึ่งโดยปกติแล้วอาการมักจะเกิดบริเวณตา จมูก ลำคอ ทางเดินหายใจส่วนล่าง และผิวหนัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เป็นต้นเหตุของอาการ
ต้นเหตุของโรคตึกเป็นพิษ
ได้รู้จักกับโรคตึกเป็นพิษไปแล้ว ทีนี้มาดูกันว่ามลพิษภายในอาคารที่เป็นต้นเหตุของโรคตึกเป็นพิษนั้นเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง
· วัสดุโครงสร้างของอาคาร
· สารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ภายในอาคาร เช่น น้ำยาถูพื้น สีที่ใช้ทาในตัวอาคาร เป็นต้น
· อากาศถ่ายเทไม่เพียงพอ โดยเฉพาะระบบปรับอากาศและระบายอากาศภายในอาคาร
· ควัน ฝุ่น หรือมลพิษในบริเวณใกล้เคียง
· อุปกรณ์สำนักงาน เช่น จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่กรองแสงจนทำอันตรายต่อสายตา
· แสงสว่างที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
· เสียงดังเกิน 85 เดซิเบลที่ดังติดต่อกัน 8 ชม. ต่อวัน
· ความร้อนและความชื้นภายในอาคาร
· ก๊าซเรดอน และแร่ใยหินในตัวอาคาร
· แบคทีเรีย เชื้อราต่าง ๆ
ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมหรือวัสดุของอาคารเพียงอย่างเดียวที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรค แต่ยังมีปัจจัยด้านสุขภาพที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคได้เช่นกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านั้น ได้แก่ อาการแพ้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้ฝุ่น แพ้ไรฝุ่น ความเครียดสะสม และโรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้า เป็นต้น
อาการของโรค
· รู้สึกไม่สบายเฉียบพลัน
· ปวดศีรษะ ปวดท้อง
· ปวดเมื่อยตามร่างกาย
· ระคายเคืองตา หู จมูก คอ
· แสบร้อนในจมูก มีน้ำมูก
· จาม ไอ อย่างต่อเนื่อง
· หนาว เป็นไข้
· คลื่นไส้
· ผิวแห้ง เป็นผื่น
· รู้สึกไม่กระตือรือร้น ไม่มีแรงทำงาน อ่อนเพลีย
· รู้สึกหงุดหงิด หรือหลงลืม
· แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก
· ไม่มีสมาธิ
แนวทางการรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่เจาะจงเฉพาะของโรค แต่จะเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ และให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ที่จะทำให้อาการกำเริบ เช่น
· ใช้ยาฟลูออกซิทีนเพื่อบรรเทาความเครียดและช่วยให้นอนหลับสนิท
· ใช้ยาแก้แพ้ในกรณีที่เกิดอาการคันตามอวัยวะต่าง ๆ
· ใช้ยารักษาโรคหอบหืดเมื่อมีอาการหายใจลำบาก
วิธีการป้องกัน
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น โรคตึกเป็นพิษเกิดจากสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษ ดังนั้นถ้าหากเราคอยตรวจสอบและปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมให้ดีอยู่เสมอ ก็จะสามารถป้องกันโรคตึกเป็นพิษได้ ซึ่งเราสามารถทำได้ดังนี้
· กำจัดแหล่งสารปนเปื้อนเพื่อลดปริมาณมลพิษทางอากาศ
· จัดระบบเครื่องปรับอากาศและระบายอากาศให้เหมาะสม
· เปิดประตูและหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
· เปลี่ยนอุปกรณ์ในสำนักงานที่เก่าและก่อให้เกิดมลภาวะ เช่น เครื่องพิมพ์เอกสาร จอคอมพิวเตอร์ หลอดไฟ
· ดูดฝุ่นหรือทำความสะอาดบริเวณที่ทำงาน ให้สะอาด เรียบร้อย ปราศจากเชื้อโรคและไรฝุ่น
· ใช้สีทาผนังชนิดที่ไม่มีโลหะหนักผสม
· ควบคุมระดับเสียงภายในอาคารให้ไม่เกิน 85 เดซิเบล
· ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราโดยการหลีกเลี่ยงการตากผ้าเปียกในอาคาร
· ไม่ควรทิ้งขยะค้างคืนไว้เพราะจะเป็นแหล่งอาหารของแมลงสาบ รวมถึงเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอีกด้วย
· หาต้นไม้ในร่มมาปลูกไว้ในตัวอาคาร เพื่อช่วยฟอกอากาศ
หากเริ่มมีอาการของโรคตึกเป็นพิษแสดงออกมา ลองมองดูรอบ ๆ ว่ามีปัจจัยไหนที่เข้าข่ายสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นหรือไม่ บางทีอาจจะถึงเวลาที่จะลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนบางอย่างในออฟฟิศแล้วก็ได้ สำหรับลูกค้ากรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต ที่สนใจในการดูแลสุขภาพสามารถอ่านบทความด้านสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/health-advisories
แหล่งที่มาของข้อมูล
· National Health Service UK (NHS UK)
https://www.nhs.uk/conditions/sick-building-syndrome/
· งานสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
https://bit.ly/3pUqLs5
· สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
https://www.tosh.or.th/index.php/blog/item/938-sick-building-syndrome-sbs
https://www.youtube.com/channel/UCNL4wRj167iBnq3oDrkSCIg
· เว็บไซต์พบแพทย์
https://bit.ly/3R7PPbe
Asianparent
https://bit.ly/3L95uVi
